การวัดแบตเตอรี่ ค่าCCA คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร
CCA ย่อมาจาก (Cold Cranking Amp) การจ่ายกระแสจากแบตเตอรี่เพื่อใช้สำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ในสภาวะอากาศหนาว ยิ่งค่า CCA สูงเท่าไหร่ก็จะมีกำลังสำหรับสตาร์ทมากขึ้นเท่านั้น ค่า CCA ของแบตเตอรี่ที่วัดจะไม่เท่ากันแตกต่างกันไปตามแต่ขนาดของแบตเตอรี่และรุ่นของแบตเตอรี่ที่มีความจุที่แตกต่างกันอีกด้วย ซึ่งค่าที่วัดได้นี้จะลดน้อยถอยลงตามสภาพแบตเตอรี่
มาตรฐานการวัดค่า ที่นิยมใช้กันได้แก่
- มาตรฐาน SAE (Society of Automotive Engineers) มาตรฐานของสมาคมวิศวกรยานยนต์แห่งสหรัฐอเมริกา
- มาตรฐาน EN (European Norm) เป็นมาตรฐานที่ใช้สำหรับสหภาพยุโรป
- มาตรฐาน IEC (International Electrotechnical Commission) มาตรฐานที่พัฒนาโดยองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน
ขนาดของเครื่องยนต์ | ค่า CCA ที่ต้องใช้ |
2,200 cc. | 268 CCA |
2,500 cc. | 325CCA |
2,700 cc. | 351CCA |
2,800 cc. | 364CCA |
3,000 cc. | 390CCA |
3,200 cc. | 416CCA |
ขนาดของเครื่องยนต์ | ค่า CCA ที่ต้องใช้ |
1,000 cc. | 130 CCA |
1,200 cc. | 156 CCA |
1,500 cc. | 195 CCA |
1,600 cc. | 208 CCA |
1,800 cc. | 234 CCA |
2,000 cc. | 260 CCA |
*** วิธีคำนวนค่า CCA ที่เหมาะสม = ขนาดเครื่องยนต์ (cc) x 0.13 ***
อายุของแบตเตอรี่รถยนต์ขึ้นอยู่กับคุณภาพของตัวแบตเตอรี่เอง การใช้รถและการดูแลรักษาตรวจเช็คแบตเตอรี่ แบตเตอรี่ที่คุณภาพดีนั้นค่าCCA ก็จะสูง ซึ่งราคาก็แพงกว่าแบตทั่วไป ค่า CCA จะค่อยๆลดลงตามเวลาหากใช้รถเป็นประจำ