1.เมื่อต้องจอดรถยนต์แล้วไม่มีการใช้งานเกิน 1 อาทิตย์ ต้องมีการสตาร์ทรถหรือนำออกมาวิ่งประมาณ ครึ่งชั่วโมง ให้ไดชาร์จทำงานเพื่อชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ การนำรถออกวิ่งจะทำให้ไดชาร์จได้เต็มประสิทธิภาพกว่าการจอดสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้

        2.หากจอดรถโดยไม่มีการใช้งานนานเกิน 1 อาทิตย์ การถอดขั้วแบตออกก็เป็นอีกวิธี เมื่อกลับมาใช้รถแค่ใส่ขั้วที่ถอดออก แบตเตอรี่ก็ยังคงมีไฟพอที่ทำให้สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ตามปกติแม้จะจอดทิ้งไว้เป็นระยะเวลาที่นาน

        3.หมั่นตรวจเช็คระดับน้ำกลั่นของแบตเตอรี่ หากเป็นแบตเตอรี่ที่ต้องเติมการเติมน้ำกลั่น ต้องตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากปล่อยแห้งจะส่งผลทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวกว่าปกติ ถือเป็นส่วนสำคัญมากต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่

        4.การดูและความสะอาดของแบตเตอรี่ ต้องไม่ให้มีคราบขี้เกลือเกิดขึ้นที่ขั้วของตัวแบตเตอรี่ ซึ่งจะมีผลต่อการการจ่ายไฟได้ ควรทำความสะอาดโดยการปัดหรือนำน้ำอุ่นราดแล้วค่อยๆใช้แปรงขัดขั้วแบตจนสะอาด

        5.สังเกตุตำแหน่งจุดยึดของแบตเตอรี่ ให้ยึดแน่นตามปกติ เช็คการยึดของขั้วแบตเตอรี่ทั้งสอง สังเกตุสภาพภายนอกของตัวแบตเตอรี่ มีลักษณะบวม มีรอยแตกร้าวหรือไม่

        6.หลีกเลี่ยงการจอดรถในที่ร้อนจัดบ่อยหรือจอดทิ้งไว้เป็นเวลานานหลายๆวัน เพราะอากาศที่ร้อนจัดอาจจะส่งผลทำให้น้ำกลั่นในแบตเตอรี่มีการระเหยได้มากกว่าปกติ แม้ตัวแบตเตอรี่จะมีการปิดมิดชิดตั้งแต่การผลิตแล้วก็ตาม

        7.อุปกรณ์เสริมต่างๆที่นำมาติดตั้งกับรถของคุณควรศึกษาการใช้งาน เพื่อให้เหมาะกับกระแสไฟของแบตเตอรี่ที่ใช้อยู่ด้วย และหลีกเลี่ยงการเปิดอุปกรณ์เสริม เช่น แอร์ เครื่องเสียง โดยไม่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์